วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 8 การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง


แนวคิดของความเชื่อมั่นในตนเอง
รู้จักตนเอง คนเรานี้แปลก บางคนรักที่จะเรียนรู้คนอื่น อยากรู้อยากเห็นคนอื่นว่าเป็นยังไงบ้าง คนบางคนชื่นชอบดาราบางคนมากขนาดที่รู้จักดาราคนนั้นได้ดีละเอียดยิบ ชนิดที่ว่าดาราผู้นั้นยังไม่รู้จักตนเองได้ดีเท่าคนๆ นี้ ถ้าเราใช้นิสัยนั้นมาเรียนรู้ตนเองแทนที่จะไปสนใจคนอื่น รับรองได้ว่า เราจะรู้ว่า เรานั้น เป็นอย่างไร มีจุดดีจุดด้อยอย่างไรบ้าง เพื่อพยายามหาทางแก้ไขข้อบกพร่อง และ ส่งเสริมจุดเด่นของเรา การรู้จักตนเอง ไม่เพียงรู้จักแต่นิสัยที่แท้จริงของเรา แต่เราต้องรู้ให้ลึกขนาดที่ว่า อะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแย่ และ อวัยวะส่วนไหนของเราที่ดูดี และ อวัยวะส่วนไหนที่เราไม่ค่อยมั่นใจ เพราะอะไร
ถ้าเราเรียนรู้ตนเอง และ เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ราจะรัก และ พยายามเป็นตัวของตนเอง ในรูปแบบที่เราชื่นชอบอย่างแท้จริง
ความกล้าหาญ รู้จักกล้าที่จะรับผิดชอบในสิ่งต่างๆที่ทำ กล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง และ กล้าที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ รวมถึง ความกล้าในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น กล้าพูด กล้าทำ และ กล้าคิด เผอิญอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต กล้ารับผิดชอบหน้าที่การงาน และ ทำให้ดีที่สุด ถ้าฝึกได้ดังนี้ เราเองจะภูมิใจในตนเอง ที่ละนิด และ ในที่สุด เราจะเคารพตัวเราเอง และ เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตนเอง
เพิ่มพูนทักษะที่จำเป็น อันนี้เป็นผลพ่วงจากการรู้จักตนเอง ว่า อะไรที่เป็นจุดด้อยของเรา และ เราต้องเรียนรู้สิ่งใดเพิ่มเติม เพื่อแก้ไข และ สร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง ก็จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ไข และ สุดท้าย เราก็จะมั่นใจในตนเอง และ ยังทำให้เราภูมิใจในตนเองมากยิ่งขึ้น ดังนั้น เราจำเป็นต้องศึกษา หาความรู้ ฝึกฝน ให้รู้ และเชี่ยวชาญ เพราะการยิ่งเรียนรู้มากก็ยิ่งมีความรู้มาก เมื่อมีความรู้มากก็มีคนให้คำแนะนำปรึกษามากขึ้น มีคนนิยม เชื่อถือมากขึ้น
นิยมความสำเร็จ ความเชื่อมั่นก็เหมือนกับไฟชีวิตที่ทำให้เรามีพลังในการทำสิ่งต่างๆ กระตือรือร้น และ มีทัศนคติที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ อย่างไรก็ตาม ไฟก็อาจจะมอดได้เป็นบางครั้ง ดังนั้น การเพิ่มเชื้อไฟให้แก่ตนเองเป็นระยะจะทำให้เรามีพลังในชีวิตได้ตลอดเวลา การเป็นคนนิยมความสำเร็จ จะทำให้เราตั้งใจทำสิ่งต่างๆด้วยความตั้งใจ และ อยากทำให้ดีที่สุดนั่นเอง

หลักการในการพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง
สร้างบุคลิกที่ดีให้แก่ตนเอง บุคคลที่ฉลาดย่อมคิดเสมอว่า ตนเองนั้นยังบกพร่องอยู่ และขยันเรียนรู้ รวมทั้ง ขยันปรับปรุงตนเองอยู่ตลอดเวลา บุคลิกภาพเป็นกุญแจสำคัญที่จะใช้ในการติดต่อกับผู้อื่น เป็นองค์ประกอบสำหรับความสำเร็จในชีวิต การแต่งกายที่สะอาด การเคลื่อนไหวในอิริยาบถที่น่าดูจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เห็น และ ทำให้เราดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
คิดในทางบวก สิ่งที่คนอื่นพูดอาจจะเป็นข้อมูลหรือเป็นประโยชน์กับเราได้ ถ้าเรามองในด้านดี การเป็นคนคิดในทางบวก เป็นการป้องกันอันตรายทางความคิดที่จะเกิดกับตัวเราในอนาคต เพราะในสังคมปัจจุบัน เป็นไปได้ว่า เราเองต้องเจอกับเหตุการณ์ คน หรือ สิ่งที่ไม่คาดคิดมากมาย ถ้าเรามองโลกในแง่ร้าย ทุกอย่างรอบตัวก็ดูจะแย่ และ อาจจะหมดกำลังใจได้โดยง่าย ทำสิ่งใดๆ ก็จะไม่อยากทำ แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี คิดทางบวก เราจะพยายามหาทางออกในทุกทางหรือ ทุกปัญหาที่เราเจอฝึกจิตใจให้สงบ และ อารมณ์เย็น เรียนรู้ที่จะเป็นคนที่สงบเมื่อถึงคราวต้องสงบ และ กระตือรือร้นเมื่อต้องกระตือรือร้น การฝึกสมาธิ หรือ การสร้างพลังใจให้แก่ตนเอง โดยการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ภายใน ย่อมส่งผลให้เรามีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น
รู้จักวางตัว รู้จักการวางตัวในแต่ละสถานการณ์ แต่ละบุคคล ได้อย่างดีและเหมาะสม จะยิ่งทำให้เราเป็นผู้มีเสน่ห์ และ มีมารยาท เรื่องนี้ สามารถฝึกกันได้ ซึ่งถ้าต้องเข้าสังคมระดับสูง มารยาทการทานอาหาร อาจต้องเป็นพิธีการมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ เราอาจจำเป็นต้องอาศัยการฝึกอบรมเพิ่มเติม
แต่ถ้าเป็นทั่วไปๆ เราก็สามารถใช้หลัก ใจเขาใจเรา คือ การคิดก่อนถาม และ ฝึกเป็นคนเข้าหา มีมารยาท รู้จักการให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโส และ เป็นนักฟังที่ดี รับรองได้ว่า เราก็จะจัดได้ว่า เป็นคนที่วางตัวเป็นคนหนึ่งทีเดียว

การเผชิญหน้าความจริงกับความสามารถในการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
1.       จงเผชิญหน้ากับบุคคลนั้น ก็ต่อเมื่อคุณห่วงใยบุคคลนั้นจริง ๆ เท่านั้น
2.        จงพบปะกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้(เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น) 
3.   จงแสวงหาความเข้าใจกัน โดยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกัน  
 4.        จงคิดถึงโครงเรื่องของสิ่งที่จะคุยกัน
5.        จงหนุนใจให้เกิดการสนองตอบ
6.  จงตกลงในแผนการปฏิบัติร่วมกัน  
วิธีการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
หัวไหล่มักจะห่อเข้า ไม่มีลักษณะอกผายไหล่ผึ่งเยี่ยงชายชาติทหาร ทำให้หายใจไม่สะดวก เพราะการขยายของทรวงอกถูกจำกัดโดยการห่อไหล่หรือก้มตัวหลังค่อม ซึ่งจะทำให้ปวดหลังได้เมื่อยู่ในท่านั้นนาน ๆ
มือทั้งสองจะอยู่ไม่สุข ถ้ามีดินสออยู่ในมือจะหมุนไปมา จนทำให้ผู้สนทนาด้วยตาลาย บิดผ้าเช็ดหน้า ทำให้ดูเคอะเขิน หรือฉีกกระดาษ หักไม้จิ้มฟัน ไม้ขีดไฟ ทำให้มองดูไม่สง่า และอาจทำให้เข้าใจผิดว่า ไม่สนใจผู้ที่กำลังพูดคุยอยู่ด้วย
การนั่ง มักจะนั่งไม่เต็มที่นั่งเก้าอี้ แทนที่จะพิงที่พนักพิงของเก้าอี้ หรือนั่งตัวตรง จึงทำให้กล้ามเนื้อหลัง ต้องเกร็งตัวมากตลอดเวลา ในรายที่ปวดหลังทำให้ปวดหลังทำให้ปวดหลังมากขึ้น และเมื่ออยู่ท่านั่งนี้นานๆ จะรู้สึกปวดเมื่อยทั้งตัว และเจ็บปวดที่บริเวณก้นมาก เพราะนั่งอยู่บนกระดูกก้นกบ แทนที่จะนั่งอยู่บนปุ่มของกระดูกเชิงกราน หลังจะเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง
การยืนจะมีฐานที่แคบมาก คือ ขาทั้งสองมักจะชิดเกินไป กล้ามเนื้อหุบขาเกร็งแข็ง หัวเข่างอไม่ตรง หลังค่อม ทำให้ต้องใช้กำลังกล้ามเนื้อของขาและหลังมาก
นอกจากนี้ การเข้าหากลุ่มสนทนา ยังไม่รู้จะเข้าหาอย่างไร เขาจะปฏิเสธที่จะคุยกับเราหรือไม่ จึงเกิดลักษณะเดินสะเปะสะปะ ไม่มีเป้าหมาย หรือเดินชนโต๊ะสะดุดเก้าอี้ ยิ่งกลายเป็นจุดเด่น หรือคิดเอาเองว่า ผู้อื่นคงจะตำหนิตนเอง ยิ่งทำให้เกิดอาการกระวนกระวายมากขึ้น พยายามหลบหลีออกจากงานเพราะเกิดความเครียดมาก ทำให้ทุกครั้งที่กลับจากงานเลี้ยงเกิดภาวะอาหารไม่ย่อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลียทั้งตัว จึงหลีกเลี่ยงการไปงานเลี้ยงต่าง ๆ ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจมากขึ้น
ดังนั้น เราต้องพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น